พระเครื่อง มณเฑียร
 ร้าน  ทรัพย์สมบูรณ์พระเครื่อง [เอก ทรัพย์สมบูรณ์]
 
 พระเครื่อง  มณเฑียร หน้าพระมณเฑียร      พระเครื่อง  มณเฑียร หน้าร้าน    พระเครื่อง  มณเฑียร การรับประกัน / การชําระเงิน     พระเครื่อง  มณเฑียร รายละเอียดของร้าน

เหรียญพรหมสี่หน้า หลวงปู่มี วัดมารวิชัย ปี2529



พระเครื่อง เหรียญพรหมสี่หน้า หลวงปู่มี วัดมารวิชัย ปี2529

พระเครื่อง เหรียญพรหมสี่หน้า หลวงปู่มี วัดมารวิชัย ปี2529



รหัสพระเครื่อง   MT1020122
ชื่อพระเครื่อง   เหรียญพรหมสี่หน้า หลวงปู่มี วัดมารวิชัย ปี2529
ราคา      2,000 
รายละเอียด    เหรียญพระพรหม ๔ หน้า หลวงปู่มี วัดมารวิชัย องค์นี้สวยเดิมๆหนึ่งใน 10,000 เหรียญ ในปัจจุบันจะเหลือองค์ที่สวยๆแบบนี้ซักกี่เหรียญ และ ปัจจุบันเหรียญรุ่นนี้ส่วนใหญ่ตกอยู่ในความครอบครองของลูกศิษย์ชาวต่างชาติ.....เหรียญพระพรหมสี่หน้า หลวงปู่มี วัดมารวิชัย จัดสร้างสำหรับผู้ร่วมงานเป่ายันต์นะหน้าทอง-ยันต์พรหมสี่หน้าในปี2529 (ผู้ที่ร่วมพิธีและบูชาขันครูเป่ายันต์จะได้รับ ขันอลูมิเนียมตอกโค๊ตยันต์ 1 ใบ ในขันจะมี,,สร้อยประคำ,,เหรียญพรหมสี่หน้า และ ผ้ายันต์พรหมสี่หน้า)………เหรียญพระพรหมสี่หน้านี้จัดสร้างด้วยเนื้อทองแดงเนื้อเดียว จำนวน 10,000 เหรียญ (ตอกโค๊ต มี ตัวขอมที่บริเวณด้านขวาของพระพรหม)-*โค๊ตที่ใช้ตอกเป็นตัวเดียวกับที่ตอกรูปหล่อรุ่นแรก,ตอกรูปหล่อหลวงพ่อปาน,ตอกเหรียญเสมาหลังสิงห์, ตอกตะกรุดมหาเศรษฐีรุ่นแรก,ตอกตะกรุดเมตตารุ่นแรก*………ลักษณะโดยรวมเป็นเหรียญปั๊มตัดขอบหูในตัว รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งลบมุมสี่ด้าน,,ด้านหน้าเหรียญเป็นรูปพระพรหมสี่หน้า 8 กรถือศาสตราวุธ 8 อย่างดังนี้…-1.จักร…-2.ประคำ…-3คฑา…-4.ดอกบัว…-5.ช้อนตักน้ำมัน…-6.คัมภีร์…-7.หม้อน้ำมนต์…-8.ธนู,,,ด้านบนมีอักขระขอมอ่านว่า “อะมะอุอิ” เป็นเมตตามหาเสน่ ,,,ด้านล่างมีพระคาถาหัวใจปาฏิโมกข์ คือ “เมอะมุอุ”……ส่วนด้านหลังเหรียญเป็นยันต์ครูสามอาจารย์(ยันต์นะหน้าทอง,,ด้านล่างมีข้อความว่า“หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย”………ขนาดของเหรียญโดยประมาณ กว้าง 2.1 ซ.ม.Xยาว 3.3 ซ.ม.………(โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน) พระพุทธคุณของเหรียญรุ่นนี้เด่นทาง เมตตา ค้าขาย คุ้มครองป้องกัน แคล้วคลาดปลอดภัย เสริมส่งดวงชะตา สรุปใช้ได้ครอบจักรวาล………ความเป็นมาของ***ยันต์พระพรหมสี่หน้า พระพรหม หรือที่พวกเราเคารพนับถือรู้จักท่านในนาม "ท้าวมหาพรหม" มีรูปหายสีแดง มี ๔ หน้า ๘ หู ๘ กร ทรงถือสัตตราวุธและสิ่งของ ๖ ชนิด คือ ๑ธารพระกร ๒ช้อนตักเนย ๓หม้อน้ำ ๔คัมภีร์ ๕ธนู ๖ลูกประคำคล้องคอ ขี่หงส์เป็นพาหนะสถิตบนพรหมพฤนทา อยู่ในพระพรหมโลกมีพระมเหสีชื่อพระสรัสวดีตามตำนานกล่าวว่า พระพรหมเป็นผู้สร้างโลก (คำนวณเป็นปีมนุษย์ประมาณมิได้ เพราะไม่มีมาตราจะเรียก) เมื่อพระพรหมสิ้นอายุแล้ว ท่านก็จะสลายกลายเป็นธาตุเดิม (นิพพาน) ส่วนโลกที่พระพรหมทรงสร้างให้พวกเราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ มีอายุเพียงหนึ่งวันของพระพรหมเท่านั้น เรียกว่า "กัลป์" เมื่อพระพรหมสร้างโลกเสร็จแล้วก็นอน ไปตื่นตอนโลกสลายแล้วก็สร้างกันขึ้นใหม่อีกตลอดอายุ ๑๐๐ปี ของพระพรหม กัลป์หนึ่งๆหรืออายุวันหนึ่งของพระพรหมเมื่อนำมาเทียบปีกับอายุของมนุษย์ประมาณ ๔,๓๒๐ ,๐๐๐ ปี เรียกว่า "มหายุค"และได้แบ่งออกเป็นอีก๔ยุคคือ
/-๑. กฤดายุค ๑,๗๒๘ ,๐๐๐ ปีมนุษย์
/-๒. ไตรดายุค ๑,๒๙๖ ,๐๐๐ ปีมนุษย์
/-๓. ทวาปยุค๘๖๔,๐๐๐ ปีมนุษย์
/-๔. กลียุค๔๓๒,๐๐๐ ปีมนุษย์
หลวงปู่มี วัดมารวิชัย บอกว่าไม่ต้องหวั่นวิตกว่าโลกจะแตกดับเมื่อไหร่เพระยังอยู่อีกนานนัก ให้หมั่นประกอบคุณงามความดี รักษาศีลภาวนาและรู้จักทำบุญทำทานเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว ด้วยอานิสงส์แห่งผลบุญกุศลจะทำให้พระพรหมท่านมาช่วยอวยพระพรชัยให้เรา คิดกระทำสิ่งใดก็จะสำเร็จสมปราถนาทุกคราวไปกล่าวคือ
พระพรหมท่านเป็นผู้มีน้ำพระทัยเย็นๆเปี่ยมไปด้วยเมตาธรรมสูงส่ง ซึ่งประกอบด้วย พรหมวิหาร ๔ ประการ คือ คุณธรรมประจำใจของพระพรหมดังนี้คือ
/-๑.เมตตาคือความรักความปราถนาให้ผู้อื่นได้ดี
/-๒.กรุณาคือความเอ็นดูความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
/-๓.มุทิตาคือความยินดีในลาภยศสุขสรรเสริญผู้อื่น /-๔.อุเบกขาคือความมีใจเป็นกลางปราศจากลำเอียง
ด้วยเหตุที่พระพรหมท่านมีคุณธรรมประจำไปด้วยเมตตาธรรมสูงส่งผู้ที่หมั่นประกอบคุณงามบูชาสักการะท่านอยู่เสมอเมื่อขอพรสิ่งใดพระพรหมไม่ค่อยขัดเพราะว่าท่านมีน้ำใจเพรียบพร้อมวิหารธรรมทั้ง ๔ ประการดังกล่าวพระพรหมท่านจึงเป็นผู้ให้คือท่านมักจะเมตตาช่วยเหลือผู้กระทความดีอยู่เสมอจนประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความเคารพสักการะพระพรหมกันมากยิ่งๆขึ้นทุกที…”พระพรหม” คือ พระเจ้าผู้สร้าง ผู้ลิขิตความเป็นไปของทุกสรรพสิ่ง เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์ทุกคน พระพรหมจึงเป็นผู้รู้ความเคลื่อนไหวของสรรพชีวิต เหตุการณ์สำคัญของโลกล้วนอยู่ในสายตาของพระพรหม พระพรหมคือมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่หนึ่งในสามตรีมูรติ ทรงรับฟังคำอธิษฐานของผู้ศรัทธาเสมอ ผู้บูชาพระพรหมและทำความดี จะได้รับการบันดาลพรให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา พระพรหม มีพระนามหลากหลาย เช่น พระพรหมมา พระพรหมา พระพรหมธาดา ท้าวมหาพรหม ปชาบดี อาทิกวี อาตมภู โลกาธิปดี ฯลฯ………กำเนิดของพระพรหมมีมากมายหลายตำรา.. ถ้าเป็นคัมภีร์ปุราณะของพราหมณ์ฝ่ายพระวิษณุเป็นใหญ่ (ไวษณพนิกาย) จะกล่าวถึง กำเนิดพระพรหม ว่า พระพรหมถือกำเนิดในดอกบัว ซึ่งดอกบัวนี้ผุดขึ้นมาจากพระนาภี (สะดือ) ของพระวิษณุ นั่นหมายถึง พระวิษณุมีมาก่อนทุกสรรพสิ่ง พระองค์ต้องการสร้างโลก จึงให้กำเนิดพระพรหมขึ้นมาเพื่อภารกิจนี้ ถ้าเป็นคัมภีร์ปุราณะของพราหมณ์ฝ่ายพระศิวะเป็นใหญ่ (ไศวะนิกาย) จะกล่าวถึงกำเนิดพระพรหมว่า พระศิวะใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งลูกพระหัตถ์อีกข้างหนึ่ง บังเกิดแสงขึ้นมาในพระหัตถ์ พระพรหมก็ออกมาจากแสงนั้นเอง ด้วยเหตุผลที่พระศิวะต้องการสร้างโลก จึงให้กำเนิดพระพรหมขึ้นมาเพื่อภารกิจนี้ ตำนานนี้พระศิวะจึงเป็นผู้มีมาก่อนทุกสรรพสิ่ง สำหรับคัมภีร์ปุราณะของ ฝ่ายพระพรหม เองนั้นบันทึกไว้ว่า พระพรหมเกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีสิ่งใดมาก่อน แท้จริงแล้วพระองค์ไม่มีจุดกำเนิด คือ มีอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นของจักรวาลแล้ว เรียกสภาวะของพระพรหมนี้ว่า อาปวะ เมื่อพระพรหมประสงค์จะสร้างสิ่งต่างๆ จึงได้แบ่งตัวเองออกเป็น 2 ภาค ภาคหนึ่งคือเพศชาย ภาคหนึ่งคือเพศหญิง (พระแม่สรัสวดี) ร่วมมือกันสร้างเทพองค์อื่นๆ เทวดา มนุษย์ สัตว์ และพืชพรรณทั้งหลายในโลก…..พระพรหม เป็นเทพเจ้าแห่งการสร้างสรรค์ ทรงมีอานุภาพในการลิขิตชะตาชีวิต โดยควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามเงื่อนไขของกฎแห่งกรรม พระพรหมจึงเป็นผู้คุ้มครองคนดี และลงโทษผู้กระทำบาป ผู้มีกิเลสตัณหา จะถูกพระพรหมลิขิตให้ชีวิตมีแต่ความลำบากยากเข็ญ ผู้มีจิตใจเอื้ออารีย์ต่อผู้อื่น พระพรหมจะบันดาลให้มีความสุขและสมบูรณ์ในชีวิต การเสียสละต่อส่วนรวมคือการถวายความจงรักภักดีต่อพระพรหม พระพรหมจะบันดาลพรให้ผู้เสียสละนั้นมีแต่ความสุขตลอดกาล………ผู้ศรัทธาในพระพรหม เมื่อสวดบูชาต่อพระองค์แล้ว พระองค์จะประทานปัญญาในการประกอบอาชีพ ปกป้องให้ห่างจากศัตรู ประทานความแข็งแรง ความรู้แจ้ง ชี้แนะแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ และมอบความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณแก่ผู้นั้น………พระพรหมทรงโปรดความเงียบสงบ ไม่วุ่นวาย มีพระทัยอ่อนโยน รักสรรพชีวิตที่พระองค์สร้างมาเสมอ เมื่อผู้ศรัทธาต้องการสักการะ พระพรหมก็โปรดการจัดการอย่างเรียบง่าย มีความตั้งใจ แต่ไม่ใหญ่โตวุ่นวาย พระองค์โปรดให้ลูกศิษย์สวดภาวนาว่า "สัก ชิต เอกัม พรหมมา" หรือ "โอม อาฮัม พรหมมา อัสมิ" เป็นร้อยๆ พันๆ หมื่นๆ แสนๆ เที่ยว และให้นั่งสมาธิตั้งจิตเพ่งไปที่พระองค์ การที่ผู้ศรัทธาได้อยู่กับพระพรหมตามลำพัง นั่งสมาธิและสวดภาวนาให้นานที่สุด พระองค์จะโปรดมาก เพราะพระองค์ทรงสอนว่า การนั่งอยู่กับที่และระลึกถึงพระองค์ บริโภคมังสวิรัติ ไม่ออกไปสร้างสิ่งเดือดร้อนให้ผู้อื่น คือการตอบแทนพระคุณพระพรหมได้ดีที่สุด,,,,,,,,,ศาสตราวุธของพระพรหม,,,,,,,,,, …-ลูกประคำ คือ การสวดมนต์ภาวนาต่อพระพรหมเพื่อแผ่เมตตาไปยังสรรพชีวิต…-ดอกบัว คือ ความสวยงามของธรรมะ ความดีงาม พระองค์ทรงสอนให้มนุษย์กระทำในสิ่งที่ดีงามและมีเมตตาต่อผู้อื่นเสมอ…-คัมภีร์ คือ การตั้งตนอยู่ในความดีความชอบ
การศึกษาบทสวดและโยคะเพื่อมุ่งตรงสู่พระผู้เป็นเจ้า…-หม้อน้ำ คือ กมัณฑลุ หรือ หม้อกลัศ ที่นักพรตตวงน้ำจากแม่น้ำคงคาไปใช้ในพิธีกรรมบูชาเทพต่างๆ (น้ำมนต์บริสุทธิ์)…..ศาสตราวุธทั้ง 4 นี้คือศาสตราวุธหลัก แต่ก็ยังมีศาสตราวุธอีกมากมายแล้วแต่ช่างจะจินตนาการปั้นหรือวาด เพื่อเสริมความหมายขึ้นมา เช่น ธนู หอก กระจก สังข์ ดาบ มีด กริซ ช้อนตักน้ำมันไฟ จักร คฑา ตลอดจนเครื่องดนตรีต่างๆ,,,,,,,,,พระพรหมเป็นผู้ให้กำเนิดคัมภีร์พระเวท,,,,,,,,,
…-พระพักตร์ทั้ง 4 ของพระพรหมจึงหมายถึง พระเวททั้ง 4…-พระพักตร์ด้านตะวันออก คือ ฤคเวท / พระพักตร์ด้านใต้ คือ ยชุรเวท…-พระพักตร์ด้านตะวันตก คือ สามเวท / พระพักตร์ด้านเหนือ คือ อาถรรพ์เวท…-พระพรหมผู้สร้างโลกได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา โดยวรรณะต่างๆของชาวอินเดีย มีกำเนิดมาจากส่วนต่างๆของพระพรหม ดังนี้…-1.ชนชั้นพราหมณ์ (นักบวช) เกิดจากพระโอษฐ์…-2.ชนชั้นกษัตริย์ (นักรบ) เกิดจากพระพาหา…-3.ชนชั้นแพศย์ (พ่อค้าทั่วไป) เกิดจากพระเพลา…-4.ชนชั้นศูทร (กรรมกร) เกิดจากพระบาทพระพรหมในศาสนาพุทธ กับ พระพรหมในศาสนาพราหมณ์ นั้นมีรูปกายเหมือนกัน ลักษณะภายนอกเหมือนกัน แต่ไม่ใช่องค์เดียวกัน………พระพรหมในศาสนาพุทธ คือ คนที่ทำความดี ตั้งมั่นอยู่ใน พรหมวิหาร 4และไปเกิดเป็นพรหม ซึ่งมนุษย์ทุกคนสามารถเป็นพรหมได้ หากตั้งมั่นอยู่บนความมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา บนสวรรค์จึงมีพระพรหมเป็นล้านๆองค์ พระพรหมที่ชาวไทยรู้จักกันดีได้แก่ ท้าวมหาพรหม หรือ พระพรหมเอราวัณ ณ สี่แยกราชประสงค์ ท้าวพกาพรหม ท้าวกบิลพรหม………พระพรหมของพราหมณ์-ฮินดู คือ ผู้สร้างโลก ซึ่งมีเพียงองค์เดียว แต่เรียกได้หลายพระนาม เช่น พระพรหมมา พระพรหมธาดา ท้าวจตุรมุข ประชาบดี…..การกราบไหว้สักการะเทวรูปพระพรหม หากไม่แน่ใจว่าเป็น พระพรหมของฮินดู (ผู้สร้างโลก) หรือเป็น พระพรหมของพุทธศาสนา (ผู้ทรงพรหมวิหาร) แนะนำให้สวดบูชาทั้ง 2 คติในคราวเดียวเลย จะได้ไม่สงสัยติดคาในใจ อีกทั้งยังได้ระลึกถึงพระพรหมทั้งหมดทุกองค์ ซึ่งไม่เป็นการผิดบาป เนื่องจากการสักการะเทวรูปพรหมในคติหนึ่งแล้วระลึกไปถึงอีกคติหนึ่ง จะนำมาซึ่งสิริมงคลทั้ง 2 ศาสนา (พุทธ-พราหมณ์),,,,,,,,,การบูชาพระพรหม,,,,,,,,, …-แท่น หรือ หิ้งบูชา ถ้าองค์เทวรูปมีขนาดใหญ่ ควรสร้างเป็นศาลอยู่นอกอาคาร แต่ถ้ามีขนาดไม่เกิด 1 ศอกสามารถประดิษฐานในบ้านได้
และเนื่องจากพระพรหมมี 4 พระพักต์ การจัดวางเทวรูปในบ้านจึงไม่ควรให้พระพักต์ใดพระพักต์หนึ่งหันไปชิดผนังมากเกินไป ควรเว้นระยะออกมาจากผนังพอสมควร ถ้าเป็นเทวาลัยหรือศาลนอกบ้าน จะต้องเป็นเทวาลัยที่เปิดออกทั้ง 4 ทิศ โต๊ะหมู่บูชาและการทาสี ควรใช้ผ้า สีขาว สีเหลือง สีชมพู หรือสีอ่อนๆไม่ฉูดฉาดและห้ามใช้สีดำ,,,,,,,,,การกราบไหว้พระพรหม,,,,,,,,,หากสถานที่กราบไหว้เป็นเทวาลัยขนาดใหญ่ ควรไหว้พระพรหมให้ครบทั้ง 4 พระพักตร์เริ่มจากพระพักต์กลาง เดินวนไปตามเข็มนาฬิกา จนกลับมาที่เดิม,,,,,,,,,เครื่องบูชา เครื่องสังเวยต่างๆ,,,,,,,,,…-ดอกไม้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ดอกมะลิ ดาวเรือง ดอกบัว ดอกโมก…-กำยานและธูป ใช้จุดได้ทุกกลิ่น…-อาหารที่ถวาย ควรเป็นขนมหวาน รสอ่อน ไม่ปรุงรสมากเกิน ไม่เค็มจัด ไม่ผสมสี เน้นธรรมชาติให้มากที่สุด…-ผลไม้ ถวายได้ทุกชนิด แนะนำมะพร้าว สาลี่ ชมพู่ กล้วย สามารถถวาย …-ธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง ข้าวสาร ข้าวหุง เมล็ดถั่วต่างๆ งาขาว งาดำ ลูกเดือย เผือก มัน สมุนไพร เมล็ดพริกไทย ผักชี ใบกระเพรา พืชผักสดต่างๆ (ของทุกอย่างจะสุกหรือไม่สุกก็ได้ เช่น ผักสดก็ถวายได้ ผักต้มสุกก็ถวายได้) “ห้ามถวายเนื้อสัตว์เด็ดขาด”,,,,,,,,,บทสวดมนต์บูชาพระพรหม,,,,,,,,,ก่อนสวดบูชาพระพรหม ต้องสวดบูชาพระพิฆเนศก่อนทุกครั้ง ซึ่งเป็นกฎการไหว้เทพของศาสนาพราหมณ์ทุกนิกาย,,,,,,,,,บทสวดพระพรหมของพราหมณ์,,,,,,,,,(เลือกสวดบทใดก็ได้) …- โอม อาฮัม พรหมมา อัสมิ (บทสวดหลัก)…- โอม สารบัม กฮาลวิดาอี พรหมมา…- สัต ชิด เอกัม พรหมมา…- โอม พรหมมะเน นะมัส…- โอม พรหมมา เทวา นะมัสเต…- โอม สารเว ภะโย พรหมมา เนพะโย นะมะฮา…- โอม ปรเมศะ นะมัสการัม โองการะ นิสสะวะรัม พรหมเรสะยัม ภูปัสสะวา วิษณู ไวยะทานะโมโทติลูกะปัม ทะระมา ยิกยานัม ยะไวยะลา คะมุลัม สทานันตะระ วิมุสะตินัม
นะมัสเต นะมัสเต จะอะการัง ตะโถวาจะ เอตามาตาระยัต ตะมันตะรามา กัตถะนารัมลา จะสะระวะปะติตัม สัมโภพะกะละ ทิวะทิยัม มะตัมยะ…- โอม จตุรมุขคาย วิดมาเฮ ฮันษา รุทยา ดีมาฮี ตันโน พรหมมา ประโจทะยาตุ…- โอม จตุรมุขคาย วิดมาเฮ กามันดาลุทารัย ดีมาฮี ตันโน พรหมมา ประโจทะยาตุ…- โอม ปรเมศวราเย วิดมาเฮ ปารตัตวาเย ดีมาฮี ตันโน พรหมมา ประโจทะยาตุ…- โอม นะโม ราโช ชุเศอิ สริสตะอุ สติตะอุ สัตตะวา มายายะชา ทะโม มายายะ สัมหะริเนอิ วิศวารูปายะ เวทาเสอิ โอม พรหมมันไย นะมะฮา…- โอม อีม หรีม ชรีม กลีม สาอะห์ สัต ชิด เอกัม พรหมมา,,,,,,,,,บทสวดสรรเสริญพระพรหม,,,,,,,,,โอม สารบัม กฮาลวิดาอี พรหมมา (3 จบ) โอม สัตยัม กฮานัม อานันดัม พรหมมา โอม สัตยัม กฮานัม อานันตัม พรหมมา โอม สัตยัม กฮานัม อัมรึตัม พรหมมา โอม สัตยัม กฮานัม อาบโฮยัม พรหมมา โอม มยามาตมาฮา พรหมมา โอม ปรากนอานาม อานันดัม พรหมมา โอม ตัต สัต โอม.........ความหมาย : ทุกสรรพสิ่งในจักรวาล ถูกสร้างโดยพระพรหมมา ขอน้อมสักการะพระพรหมมา ผู้เป็นความจริงอันสูงสุด พระองค์คือความสุข พระองค์คือสรรพความรู้ พระองค์คือสิ่งที่อยู่อย่างนิรันดร์ พระองค์คือสิ่งอันเป็นอมตะ
พระองค์คือสิ่งผู้กล้าหาญเหนือผู้อื่นใด สรรพความรู้และความสุขทั้งหลายคือพระพรหมมา
ทุกอนูของเราทั้งหลายจึงขอถวายแด่พระพรหมมา,,,,,,,,,บทสวดพระพรหมของพุทธ,,,,,,,,,
(เลือกสวดบทใดก็ได้)- โองการพินธุนาถัง อุปปันนัง พรหมมาสะหะปะตินามะ อาทิกัปเป สุอาคะโต ปัญจะปะทุมมังทิสะวา นะโมพุทธายะ วันทะนังฯ - โอม พรหมมะเณ นะมะ โองการพินทุ นาถังอุปปันนาถัง สุอาคะโต ปัญจะปะทุมมัง พรหมมาสะหัมปะตินามัง ทิสสะวา นะโมพุทธายะ วันทานัง - โอม พระพรหมมา ปฏิพาหายะ ทุติยัมปิ พระพรหมมา ปฏิพาหายะ ตะติยัมปิ พระพรหมมา ปฏิพาหายะ - พรหมมาจิตตัง ปิยังมะมะ นะชาลีติ นะมะพะทะ นะมะอะอุ เมกะอะอุ - ปิโย เทวะ มะนุสสานัง ปิโย พรหมมา นะมุตตะมัง ปิโย นาคะ สุปันณานัง ปินินทะริยัง นะมามิหัง,,,,,การกราบไหว้สักการะเทวรูปพระพรหม หากไม่แน่ใจว่าเป็น พระพรหมของฮินดู (ผู้สร้างโลก) หรือเป็น พระพรหมของพุทธศาสนา (ผู้ทรงพรหมวิหาร)
แนะนำให้สวดบูชาทั้ง 2 คติเลย ซึ่งไม่เป็นการผิดบาป เนื่องจากการสักการะเทวรูปพรหมในคติหนึ่งแล้วระลึกไปถึงอีกคติหนึ่ง
จะนำมาซึ่งสิริมงคลทั้ง 2 ศาสนา (พุทธ-พราหมณ์) …….ความเป็นมาของ ยันต์ครูสามอาจารย์ หรือ “ยันต์นะหน้าทอง”หลวงพ่อจงท่านร่ำเรียน "ยันต์นะหน้าทอง" มาจากพระอาจารย์หลายรูปด้วยกัน องค์แรกคือ หลวงพ่อโพธิ์ วัดหน้าต่างใน ต่อมาได้ไปเรียน"ยันต์นะภัทรกัป"จากหลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสคันธ์ ในภายหลังประมาณปี พ.ศ.2450 หลวงพ่อจงออกธุดงค์ไปนมัสการพระเจดีย์ชเวดากองประเทศพม่าก็บังเอิญได้เรียน "นะมหาละลวย" กับพระอาจารย์อีกรูปหนึ่งภายในดงพญาเย็น "นะ" ต่างๆที่หลวงพ่อจงท่านได้เรียนมานั้นไม่ว่าจะเป็น”นะหน้าทอง” –“นะภัทรกัป”- “นะทรงธีณี” หรือแม้แต่ “นะมหาละลวย” ก็คือ"ยันต์นะพระเจ้า 5 พระองค์" ที่อ่านว่า "นะโมพุทธายะ" ซึ่งมีสูตรการลงนะแบบเดียวกันทั้งสิ้น เรียกว่าเหมือนกันทุกประการแต่การที่พระอาจารย์แต่ละท่านเรียกนามต่างกัน เนื่องจากตัวนะเป็นตัววิเศษสุดกว่าตัวอื่นๆเพราะมีความศักดิ์สิทธิ์และมีอุปเท่ห์วิธีใช้ที่แยบยลและมีความพิสดารมากมายนั้นเองหลวงพ่อจงท่านร่ำเรียนนะดังกล่าวมากับพระอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคมหลายรูปดังนั้นท่านจึงมีความนับถือยันต์”นะหน้าทอง”นี้มากเวลาท่านจะเป่ากระหม่อมลงแผ่นโลหะลงผ้าประเจียด หรือแม้แต่การปลุกเสก เครื่องรางของขลังอื่นๆทุกชนิดท่านจะใช้พระคาถาหรือสูตรลงนะเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเรียกว่าเป็นยันต์ครูประจำตัวเรื่องนี้มีผู้ทราบจากปากคำของ หลวงพ่อนิล วัดหน้าต่างใน ซึ่งเป็นน้องชายร่วมสายโลหิตแท้ๆ ของหลวงพ่อจง ได้เล่าสาเหตุที่ท่านสร้างเหรียญหลวงพ่อจงรูปหยดน้ำ เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2479 ว่าหลวงพ่อจงท่านจำเพาะเจาะจงให้ประทับยันต์ "นะหน้าทอง" ลงที่ด้านหลังเหรียญด้วยสาเหตุที่ท่านนับถือใช้เป็นยันต์ประจำตัวเพราะได้ร่ำเรียนมากับพระอาจารย์หลายรูปดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั่นเอง หลวงปู่มี อธิบายสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่หลวงพ่อจงท่านนับถือยันต์ “นะหน้าทอง”มากก็เพราะว่าเป็นพระคาถาหัวใจพระเจ้า 5 พระองค์ คือ "นะโมพุทธายะ" อันเป็นนามพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัป คือ กัปอันเจริญปัจจุบันนี้ซึ่งมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ถึง 5 พระองค์ คือ…”นะ” หมายถึงพระกกุสันโธ…”โม” หมายถึงพระโกนาคมน์…”พุท” หมายถึงพระกัสสปะ…”ธา” หมายถึงพระสมณโคดมพระพุทธเจ้าที่เรากราบไหว้องค์ปัจจุบัน…”ยะ” หมายถึงพระศรีอาริยเมตไตรยพระพุทธเจ้าองค์ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต…..เมื่อ "นะหน้าทอง" ตกทอดมาถึง หลวงปู่มี พระเถราจารย์จอมขมังเวทย์ผู้ร่ำเรียนวิทยาคมถึง 3 องค์ ได้เพิ่มเติม พระคาถาหัวใจยอดศีล คือ "พุทธสังมิ" ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และ พระคาถาหัวใจป้องกันอาวุธพันชนิด "นะอุธัง" ของหลวงพ่อเขียน วัดบ้านพร้าว ลงไปในยันต์ อีก เพื่อเป็นการระลึกถึง 3 พระจารย์ผู้ถ่ายทอดยอดวิชาแก่หลวงปู่มีดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า”ยันต์นะหน้าทอง”ของหลวงปู่มี วัดมารวิชัย จึงศักดิ์สิทธิ์ใช้ได้สารพัดครอบจักรวาลเป็นทวีคูณเมื่อท่านนำมาประทับไว้ในอิทธิมงคลและใช้ปลุกเสกวัตถุต่างๆของท่านย่อมเต็มไปด้วยพุทธาปาฎิหาริย์ให้คุณแก่ผู้บูชาสักการะอย่างอเนกอนันต์ทุกประการ…ในปีพ.ศ. ๒๔๘๑ หลวงปู่มีจึงมาฝากตัวเป็นศิษย์เล่าเรียนวิชากับหลวงพ่อจงอย่างจริงจัง โดยหลวงปู่มี ขอเรียนวิชาทำตะกรุดกับท่านก่อนตามที่เคยตั้งใจไว้ตั้งแต่ยังเป็นฆราวาส สาเหตุที่หลวงปู่มีตั้งใจที่จะเรียนวิชาทำตะกรุดจากหลวงพ่อจงนั้นเนื่องจากในสมัยหลวงปู่มี ยังเป็นฆารวาสเคยมีคนมาลองของกับหลวงพ่อจง ด้วยการเอาตะกรุดให้ท่านเป่าแล้วไปลองยิงปรากฎว่าปืนขัดลำกล้อง แต่เมื่อหันปากกระบอกปืนไปทางอื่นเสียงปืนก็ลั่นเปรี้ยงทันทีเมื่อหลวงปู่มี ประจักษ์ในความศักดิ์สิทธิ์ในตะกรุดที่หลวงพ่อจง เป่าด้วยสายตาตัวเองเช่นนี้ จึงตั้งใจไว้ว่าเมื่อบวชเรียนจะมาขอวิชาจากหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา หลวงพ่อจง ท่านสอนวิธีลง”นะหน้าทอง”ให้แก่หลวงปู่มี และบอกให้ใช้”นะหน้าทอง”ตัวนี้ลงแผ่นโลหะทำตะกรุดเมตตาหลวงปู่มี จึงถามหลวงพ่อจง ขึ้นว่า *(เมื่อลงเมตตามหานิยมทำไมถึงยิงไม่ออก)* หลวงพ่อจง เปิดเผยเคล็ดลับในการใช้วิทยาอาคมโดยไม่ปิดบังอำพรางแก่หลวงปู่มี “ว่าลงทางเมตตาก็จริง แต่เวลาปลุกเสกเริ่มต้นอย่างไร ให้ลงท้ายว่าอย่างนั้นจะเป็นมหาอุตม์ เพราะยันต์นะหน้าทองมีความศักดิ์สิทธิ์ใช้ได้สารพัด ข้อสำคัญต้องสร้างสมาธิจิตของตนเองให้แก่กล้าจึงจะใช้ได้สารพัดตามใจ” นึกดังนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มสมาธิจิตให้กล้าแข็งอันเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการเล่าเรียนพระเวทย์ หลวงพ่อจงท่านจึงถ่ายทอดวิธีปฎิบัติการเพ่ง เตโชกสิณ แก่หลวงปู่มี พร้อมๆกับการสอนสูตรการลง “นะหน้าทอง” หลวงปู่มี ผู้สำเร็จอสุภกรรมฐานกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แล้วยังได้วิชากสิณไฟจากหลวงพ่อจง อันเป็นกรรมฐานเกี่ยวกับการสร้างพลังจิตทั้งสิ้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมอิทธิมงคลทุกอย่างที่ผ่านการปลุกเสกจากหลวงปู่มี ล้วนมีประสบการณ์เข้มขลัง เป็นที่กล่าวขานโดยทั่วไปหลวงปู่มีได้ศึกษากรรมฐานและวิทยาคมต่างๆมากับหลวงพ่อจงเป็นเวลานานเกือบ ๓๐ ปีท่านได้เดินทางไปๆมาๆระหว่างวัดหน้าต่างนอกและวัดมารวิชัยอยู่เสมอๆ ทั้งยังได้ร่วมงานกับหลวงพ่อจงอย่างใกล้ชิดอยู่บ่อยครั้ง และได้ปฏิบัติดูแลหลวงพ่อจงตราบจนท่านสิ้นลมหายใจ สำหรับยันต์"นะหน้าทอง"นี้ หลวงปู่มี บอกว่าตัวเดียว พอแล้ว "ขอให้จิตใสสว่าง ทำได้ทุกอย่างที่ปรารถนา เสื่อมแล้ว เป่าใหม่ได้ ใช้ได้เหมือนเดิม"………”หลวงปู่มี พระเถราจารย์จอมขมังเวทแห่งวัดมารวิชัยท่านได้สร้างเสกอิทธิวัตถุมงคลออกมาหลายพิมพ์หลายรุ่นหลายแบบ แต่แทบทุกรุ่นทุกชนิดก็สร้างน้อยมีจำนวนจำกัด เมื่อหมดให้เช่าบูชาหมดไปแล้วก็หมดกันไป ไม่มีการสร้างเสริมเพิ่มเติมขึ้นมาอีก จึ่งทำให้วัตถุมงคลทุกชนิดของหลวงปู่มีน่าสะสม และ วัตถุมงคลของท่าน สะสมเล่นหาง่าย มีเอกลักษณ์เป็นแบบเฉพาะโดดเด่น มีโค๊ตกำกับในการแยกรุ่น แยกเนื้อ แยกพิมพ์ และที่สำคัญยิ่งคือ ผู้นำวัตถุมงคลไปใช้บูชาก็ได้ผล เป็นประจักชัด มีประสพการมากมาย วัตถุมงคลของหลวงปู่มี นั้นอาราธนาใช้ได้ครอบจักรวาล เพราะบารมีแห่งอักขระพระคาถาที่บรรจุอยู่ในวัตถุมงคล และ ได้รับการปลุกเสกบรรจุพลังจากหลวงปู่มี วัดมารวิชัย(ที่มีสมาธิจิตแข็งแกร่ง วิชาอาคมแก่กล้า มีวิธีการปลุกเสกที่เป็นเอกลักษณ์ หาใครเหมือนได้ยาก)………ท่านที่กำลังมองหา หรือ สะสมวัตถุมงคลหลวงปู่มี วัดมารวิชัย อย่ามองข้ามรุ่นนี้ เพราะเป็นอีกรุ่นหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และ จำนวนสร้างน้อย__***ปัจจุบันมีของปลอมออกมาหลายฝีมือท่านควรเลือกเช่าหาจากร้านที่มีความหน้าเชื่อถือมีการรับประกัน และควรเลือกเก็บสะสมองค์ที่สวยๆเพื่อมูลค่าเพิ่มในอนาคต__พระองค์นี้ท่านลูกค้าชมองค์จริงได้ที่ 94/2 หมู่4 ซ.อ่อนนุช63 ถ.สุขุมวิท77 แขวง/เขตประเวศ กทม.((กรุณาโทรนัดล่วงหน้า))***__kittiphon0707@gmail.com__Line ID : aek333s
เข้าชมร้าน     ทรัพย์สมบูรณ์พระเครื่อง [เอก ทรัพย์สมบูรณ์]
โทรศัพท์     0860039239 , 02
ผู้เข้าชม   7683
*** เหรียญพรหมสี่หน้า หลวงปู่มี วัดมารวิชัย ปี2529 ***



  พระเครื่อง มณเฑียร   สงวนลิขสิทธิ์ เนื้อหาทั้งหมดตั้งแต่ปี 2011 ชมรมพระเครื่อง มณเฑียร   พระเครื่อง มณเฑียร  
 
พระเครื่อง มณเฑียร เว็บไซด์ : พระมณเฑียร : WWW.PRAMONTIEN.COM   พระเครื่อง มณเฑียร
 
ห้ามคลิกขวา